ตอนที่ 1 ทุ่งลาดหญ้า
เรื่องเล่า ณ เขาชนไก่ ตอนที่ 1
นี้ผู้เขียนจะนำประวัติของเขาชนไก่มาให้ผู้อ่านได้รู้จักกับเขาชนไก่มากยิ่งขึ้นว่าเพราะเหตุใด
เขาชนไก่ จึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ผี หรือ วิญญาณ มากมายหลายเรื่องไม่ว่าจะมาจากประสบการณ์จริง
เรื่องเล่า จากทั้งตัวนักศึกษาวิชาทหารเองหรือจากครูฝึกก็ตาม
เขาชนไก่แต่เดิมนั้นเคยเป็นสนามรบมาก่อนโดยเป็นการทำสงครามระหว่าง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือ รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี
ที่พระองค์ได้กระทำเพื่อป้องกันการรุกรานของพระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๘
ผลของการสงครามครั้งนี้ได้ให้บทเรียนเรื่องยุทธศาสตร์
กลยุทธ์ที่ใช้กำลังน้อยต่อสู้กับข้าศึกที่มีกำลังมากกว่า
และยังทรงใช้หลักการสงครามอย่างชาญฉลาด
ที่สามารถใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ โดยใช้ท่อนไม้แทนกระสุนปืนใหญ่
ชัยชนะของฝ่ายไทยในการทำสงครามครั้งนี้ เป็นชัยชนะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะหากไทยพ่ายแพ้จะต้องสูญเสียเอกราช แผ่นดินไทยจะถูกผนวกเป็นอาณาเขตของพม่า
อาจถูกกลืนชาติเผ่าพันธุ์ เหมือนที่พม่าทำกับมอญมาแล้วในอดีต และในเวลาต่อมา
เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งไทยก็ย่อมถูกพ่วงเป็นอาณานิคมไปด้วย
สงคราม ๙ ทัพ
จึงเป็นการทำสงครามเพื่อรักษาเอกราชของชาติไทยโดยแท้
และสมรภูมิแห่งประวัติศาสตร์ที่โลกจะต้องจารึกใน “ศึกสงคราม ๙ ทัพ”
และคนไทยทุกยุคทุกสมัยควรจะต้องรู้จักและจดจำ
เพื่อสำนึกรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรพบุรุษของเราในอดีต
อีกทั้งเพื่อสำนึกในความรักชาติรักแผ่นดินตลอดไป คือสมรภูมิแห่งทุ่งลาดหญ้า
จังหวัดกาญจนบุรี
“ทุ่งลาดหญ้า”
เป็นที่ราบอยู่ระหว่างแม่น้ำแควใหญ่กับลำน้ำตะเพินไหลมาบรรจบกัน
ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีขึ้นไปทางเหนือประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ณ ที่นั้น
คือสมรภูมิแห่งการสงครามปกป้องรักษาเอกราชของชาติ
“สงคราม ๙ ทัพ” ณ สมรภูมิลาดหญ้านี้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ในหนังสือเรื่อง
ไทยรบพม่า สรุปความได้ว่า
เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๔ “ตะแคงปดุง”หรือ
“พระเจ้าปดุง” ราชบุตรคนที่ ๔ ของ “พระเจ้าอลองพญา”แห่งพม่า
ชิงราชสมบัติและสำเร็จโทษ “มังหม่อง”ซึ่งชิงราชสมบัติจาก “พระเจ้าจิงกูจา”
และครองราชย์สมบัติอยู่ได้เพียง ๑๑ วัน
พระเจ้าปดุงได้ราชสมบัติแล้วต้องปราบปรามจราจลภายในบ้านเมืองอยู่หลายปี
จนต่อมารบตี “ประเทศมณีปุระ”ทางเหนือ และ “ประเทศยะไข่” ทางตะวันตกได้
จึงคิดจะยกมาตีเมืองไทย ให้เป็นเกียรติยศเป็นมหาราช
ถึงปีมะเส็ง พ.ศ.๒๓๒๘(กรุงรัตนโกสินทร์
หรือกรุงเทพฯพึ่งจะก่อตั้งและสถาปนาได้เพียง๓ ปี)
ดังนั้นพระเจ้าปดุงจึงเกณฑ์กองทัพทั้งเมืองหลวงและหัวเมืองขึ้นต่างๆ รวมจำนวนพลถึง
๑๔๔,๐๐๐ จัดกระบวนทัพเป็น ๙ ทัพ ตั้งทัพบกทัพเรือเข้ามาตีไทย
พม่ายกเข้ามาหลายทิศทาง
หวังให้ทลายลงอย่างราบคาบก่อนที่จะเจริญรุ่งเรืองและเติบใหญ่เป็นภัยต่อพม่าได้
ซึ่งถือว่าเป็นการระดมทัพใหญ่
มีกำลังพลมากที่สุดและบุกพร้อมกันหลายทิศทางเท่าที่ราชอาณาจักรสยามหรือไทยเราได้ผจญมาในอดีต
ทัพที่ ๑ เข้ามาทางปักษ์ใต้
มาตั้งที่เมืองมะริด ตีเมืองชุมพร สงขลา ตะกั่วป่า ลงไปจนถึงถลาง
ทัพที่ ๒ เข้ามาทางด้านบ้องตี้
ตีหัวเมืองไทยตั้งแต่ ราชบุรี เพชรบุรี ลงไปบรรจบกันที่ที่ชุมพร
ทัพที่ ๓ ยกเข้ามาทางเชียงแสน
ตีเมืองลำปาง และหัวเมือง ริมแม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำยม ตั้งแต่สวรรคโลก สุโขทัย
ให้มาบรรจบกองทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ทัพที่ ๔ ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์
เพื่อตีกรุงเทพฯ
ทัพที่ ๕ ๖ ๗
เป็นทัพหน้าเข้ามาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ ทัพที่ ๘ เป็นทัพหลวง
พระเจ้าปดุงเป็นจอมทัพ ยกลงมาทางเมืองเมาะตะมะ
ทัพที่ ๙ เข้ามาทางด่านแม่ละเมา
แขวงเมืองตาก ตีหัวเมืองเหนือตั้งแต่ตาก กำแพงเพชร ลงมาบรรจบทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
กองทัพพม่าครั้งนี้ ยกเข้ามาถึง ๕
ทางพร้อมกัน หวังจะทุ่มเทกำลังไพร่พลมหาศาลเข้าตีไทยพร้อมกันหมดทุกทาง
มิให้ไทยมีประตูสู้ แต่ยุทธศาสตร์ของพระเจ้าปดุง มีข้อผิดพลาด เพราะยกทัพจำนวนมาก
แยกย้ายกันมาเป็นหลายทิศหลายทาง มิได้คิดว่าเป็นการยากที่จะให้เข้ามาถึงพร้อมกัน
ทั้งยังมีปัญหาเรื่องการหาและลำเลียงเสบียงอาหารมาเลี้ยงไพร่พลจำนวนมากด้วย
ในขณะที่พม่ายกทัพเข้ามานั้น
หัวเมืองต่างๆ ทั้งกาญจนบุรี และหัวเมืองเหนือ ได้แจ้งข่าวศึกเข้ามายังกรุงเทพฯ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงประชุมปรึกษาพระราชวงศ์ เสนาบดี
ข้าราชการ เพื่อจะสู้ศึกพม่า กำลังของฝ่ายไทยในขณะนั้นสำรวจพลได้เพียง ๗๐,๐๐๐ เศษ น้อยกว่าข้าศึกถึงเท่าตัว ทรงพิจารณาว่า
ถ้าจะแบ่งกำลังไปรับข้าศึกทุกทาง คงจะเสียเปรียบ ควรจะรวมกำลังไปสู้ศึก ณ
ทางที่สำคัญก่อน ทางไหนไม่สำคัญปล่อยให้ข้าศึกทำตามชอบใจไปพลางก่อน
เมื่อมีชัยชนะในทางสำคัญแล้ว จึงปราบปรามขับไล่ทางอื่น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงจัดกองทัพเป็น ๔ ทัพ
ทัพที่ ๑ ให้กรมพระราชวังหลัง(ทองอินทร์)
ซึ่งในขณะนั้นดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ยกพล ๑๕,๐๐๐ ไปตั้งขัดตาทัพทางเหนือที่เมืองนครสวรรค์
ป้องกันอย่าให้ทัพพม่าล่วงลงมาถึงกรุงเทพฯได้
ทัพที่ ๒ จัดพล ๓๐,๐๐๐
เป็นทัพใหญ่กว่าทุกทัพให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท(บุญมา)หรือวังหน้า พระอนุชาธิราชเสด็จเป็นแม่ทัพ
ยกไปตั้งรับที่เมืองกาญจนบุรี(เก่า) คอยต่อสู้ทัพหลวงของพระเจ้าปดุง
ที่จะยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์
ทัพที่ ๓ ให้เจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด)
กับเจ้าพระยายมราช(บุนนาค)ถือพล ๕,๐๐๐
ไปตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี รักษาทางลำเลียงของกองทัพที่ ๒ และคอยต่อสู้สกัดพม่าที่จะยกมาจากทางใต้หรือทางเมืองทวาย
ทัพที่ ๔
กองทัพหลวงจัดเตรียมไว้ในกรุงเทพฯ จำนวนพล ๒๐,๐๐๐ เศษ
เป็นกองหนุน ถ้าศึกหนักทางไหน จะได้ยกไปช่วยได้ทันท่วงที
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นจอมทัพ
กองทัพที่ ๔ ของพม่ายกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์
ผ่านเมืองไทรโยคเข้ามาทางเมืองท่ากระดาน ตีด่านกรามช้างแตก
แล้วยกเข้ามาตั้งที่ทุ่งลาดหญ้า
เผชิญกับกองทัพของกรมพระราชวังบวรฯที่ตั้งค่ายรับอยู่
การยกทัพไปตั้งสกัดข้าศึกถึงชายแดน
เป็นยุทธวิธีที่เพิ่งมีขึ้นในรัชกาลที่ ๑ นี้ ทุ่งลาดหญ้าอยู่เชิงเขา เมื่อพม่ามาถึง
ได้ต่อสู้กับกองทัพไทย ถูกกองทัพไทยจับทหารได้กองหนึ่ง จัดตั้งค่ายที่เชิงเขา
เมื่อเป็นดังนี้ ทัพที่ ๖ ทัพที่ ๗
ของพม่าที่ยกตามมาไม่สามารถเดินหน้าต้องตั้งทัพบนภูเขาต่อเนื่องกันไป
จนทัพหลวงของพระเจ้า
ปดุงซึ่งเป็นทัพที่ ๘
ยกเลยด่านเจดีย์สามองค์เข้ามาได้เพียงเล็กน้อย
พม่าต้องหาบขนเสบียงข้ามเขาไปเลี้ยงทหารจำนวนมาก
ซ้ำยังถูกฝ่ายไทยซุ่มโจมตีตัดการลำเลียงเสบียงด้วย จนทหารพม่าอดอยาก
เจ็บป่วยล้มตายลงมาก
ขณะที่กองทัพกรมพระราชวังบวรฯสู้รบติดพันอยู่กับพม่าที่ทุ่งลาดหญ้านั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงห่วงใยได้เสด็จฯยกทัพหลวงไปถึงทุ่งลาดหญ้า
แต่กรมพระราชวังบวรฯได้กราบทูลขอให้เสด็จฯกลับกรุงเทพฯ
ด้วยเกรงว่าทัพพม่าจะยกเข้ามาทางอื่นอีก จะได้ยกไปช่วยทันท่วงที
ซึ่งถือว่าเป็น
“ศุภนิมิต”หรือนิมิตอันดีงามอย่างยิ่ง ที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยม ดังนั้นกรมพระราชวังบวรฯ
ถือเอานิมิตนี้ แปลงเป็นกลยุทธ์อันยอดเยิ่ยมและแยบคาย
คือทำทีเป็นว่ามีกองกำลังหนุนเข้ามาช่วยอยู่เสมอทั้งๆที่มีกำลังเท่าเดิม
ซึ่งได้ผลยิ่งเพราะทหารพม่าเริ่มเกรงกลัวว่ากองทัพไทยมีกำลังมาก
มีการเสริมกำลังและเสบียงตลอดเวลา โดยที่พม่าเองกลับล้มตายลงเรื่อยๆและเสบียงอาหารก็ขาดแคลน
แถมผู้นำทัพก็ไม่แจ้งในกลศึกนี้เลย ต่อมากรมพระราชวังบวรฯทรงทำกลอุบาย
โดยในเวลากลางคืนแบ่งกองทัพให้ลอบกลับไป
แล้วเวลาเช้าให้ถือธงทิวเดินเป็นกระบวนกลับมา พม่าอยู่บนภูเขาที่สูง
เห็นกองทัพไทยมีกำลังหนุนเพิ่มเติมมาเสมอ ก็ครั่นคร้ามกองทัพไทย ในที่สุด
กองทัพไทยก็เข้าระดมตีค่ายพม่าพร้อมกันทุกค่ายในเวลาเดียวกัน
มีชัยชนะตีค่ายแตกทุกค่าย ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก
ที่เหลือแตกหนีกระจัดกระจาย ถูกกองโจรของ
"พระองค์เจ้าขุนเณร"เข้าตีซ้ำเติมแตกพ่ายกลับไป
พระเจ้าปดุงทราบว่ากองทัพหน้าของพม่าแตกกลับไปแล้ว
เห็นว่าจะทำการต่อไปไม่สำเร็จ และกองทัพขัดสนเสบียงอาหาร เจ็บป่วยล้มตายกันมาก
จึงสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองเมาะตะมะ
และนี่คือที่มาและตำนานวีรกรรม
“สมรภูมิทุ่งลาดหญ้า” หรือ
“วันชนะศึกทุ่งลาดหญ้า”ของบรรพบุรุษไทยแห่งราชอาณาจักรสยาม
หรือราชอาณาจักรไทย(ในปัจจุบัน)
ส่วน
“กองทัพหม่ากองอิ่น”ที่เข้ามาทางด่านบ่องตี้ เข้ามาจนถึงเขางูราชบุรี
และทัพที่เข้ามาทางเหนือเข้ามาถึงปากพิง นครสวรรค์
แต่ในที่สุดก็ถูกกองทัพไทยตีแตกกลับไป ส่วนทัพที่เข้ามาทางใต้ ผ่านชุมพร
ตีได้เมืองนครศรีธรรมราช ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง
ไปจนถึงเมืองถลาง(จังหวัดภูเก็ตในปัจจุบัน) ขณะนั้นพระยาถลางถึงแก่อนิจกรรม
“คุณหญิงจันทร์”(ภริยาพระยาถลาง) และ “นางมุก”น้องสาวของคุณหญิงจันทร์
ได้ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกับกรมการเมืองช่วยกันรบพุ่งต้านทานพม่าอย่างสุดกำลัง
พม่าล้อมเมืองถลางไว้เดือนเศษ แต่ตีถลางไม่ได้และยังถูกโจมตีล้มตายไปเป็นอันมาก
และหมดเสบียงลงจึงต้องล่าทัพกลับไปอย่างชอกซ้ำ
กองทัพกรมพระราชวังบวรฯ นั้น
เมื่อเสร็จศึกที่ลาดหญ้าแล้ว ได้เสด็จยกกองทัพไปช่วยต่อสู้ทัพพม่าที่เข้ามาทางใต้
ไปตั้งทัพที่ไชยา สุราษฎร์ธานี ในที่สุดฝ่ายไทยก็ขับไล่พม่าทั้ง ๙
ทัพไปจากผืนแผ่นดินไทย ด้วยกลยุทธ์อันชาญฉลาด ใช้กำลังน้อยมีชัยชนะกำลังมากได้
จากการเสียสละเลือดและชีวิตของทหารกล้าในสงคราม
๙ ทัพ ผืนแผ่นดินทุ่งลาดหญ้าแห่งนี้จึงมีวีรชนมากมายคอยปกปักษ์คุ้มครองลูกหลานจากอดีตจนมาถึงปัจจุบัน
ทุกครั้งที่จะเริ่มการเข้าค่ายฝึกภาคสนามของนักศึกษาวิชาทหารครูฝึกจะบอกนักศึกษาวิชาทหารทุกคนเสมอว่า
“ก่อนนอนทุกครั้งให้ไหว้พระขอพร บอกกล่าวเทวาอารักษ์ วีรชนทุ่งลาดหญ้า
ขออนุญาตมาใช้สถานที่แห่งนี้ในการฝึกขอให้ช่วยคุ้มครองให้การฝึกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
สาธุ”
ขอขอบคุณ
รูปภาพสวย ๆ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=addsiripun&month=20-02-2010&group=12&gblog=46
ข้อมูลดี ๆ
http://www.sujipuli.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539364157
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น